วันพฤหัสบดีที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2555

แว๊นกินลม ... ชมทุ่งทานตะวัน ... ที่สระบุรี


ห่างหายไปนานกับการเล่าเรื่องเที่ยวแบบลุย ที่จริงอาจจะลืมไปเลยเพราะงานยุ่งๆ จนมีผู้อ่านจากไหนไม่รู้แวะมาอ่านเรื่อง หาดวนกร (วะ-นะ-กอน) แบกเป้ นั่งรถไฟ ไปกางเต๊นท์นอนทะเล ที่เขียนไว้ก่อนหน้านี้แล้วคอมเมนต์ให้กำลังใจเรามา วันนี้เลยมีโอกาสมาเขียนเล่าให้อ่านกันอีก เวิ่นเว้อมานาน เริ่มเลยล่ะกัน

จำได้ว่าช่วงนี้เป็นเดือนธันวาคม สำหรับแผนการเดินทางเราวางแผนไว้ว่าเราจะแว๊นหรือขี่มอไซด์ออกจากบ้าน (บ้านพวกเราอยู่สระบุรี) เริ่มจาก อ.แก่งคอย ไปทาง อ.มวกเหล็ก ต่อด้วย อ.วังม่วง ผ่านไร่องุ่น อุโมงค์ต้นไม้ แวะพักที่เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ฟาร์มผึ้งโดยเป็นการวนกลับสู่ อ.แก่งคอย

เมื่อได้แผนการเดินทางแล้ว เราก็ต้องสำรวจว่าใครจะไปบ้างล่ะ คนที่แจ้งว่าจะไปก็มี พี่ตี้กับน้องออ พร้อมมอไซด์ 1 คัน เฮียกับน้องกี้พร้อมมอไซด์ 1 คัน และเรากับเพื่อนลี่อีก 1 คัน สรุปรวมเริ่มต้นมีมอไซด์ 3 คันกับหนุ่มสาวหน้าใส 6 คน

การเดินทางเริ่มต้นที่เช้าตรู่ของวันเสาร์ (ที่เราไม่ต้องทำงาน) เราออกจาก อ.แก่งคอยมุ่งหน้าไปตามถนนผ่านไร่นาของชาวบ้านสักพักเราก็เริ่มตื่นเต้นกับไร่ทานตะวัน ขับไปก็ยิ่งเจอไร่ทานตะวันที่กำลังเบ่งบานอวดสายตาพวกเราเต็มท้องทุ่ง จนพวกเราอดใจไว้ไม่ไหวต้องอจดรถข้างทางแล้วไม่รอช้า วิ่งเข้าไปถ่ายรูปกับดอกทานตะวันสีเหลืองที่ชูคอรอให้เราถ่ายรูปอยู่ (รูปที่ถ่ายออกมาดอกทานตะวันบางดอกกับหน้าของเราเท่ากันเป๊ะ) พอถ่ายรูปได้สักพักเราก็ไปกันต่อ แต่แหมทำไมมันคันตามแขนขาล่ะ ก็จะไม่คันได้งัย เล่นวิ่งลุยไปกลางทุ่งทานตะวันซะขนาดนั้น แต่ไม่ใช่อุปสรรค แล้วเราก็แว๊นต่อมุ่งหน้าจุดหมายปลายทางเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์

แว๊นกันมาได้สักพักพลังงานเริ่มหมด หิวอ่ะดิ กินไรดีล่ะ ก็แว๊นกันไปเรื่อยๆ ระหว่างทางก็มองหาอะไรที่เราจะกินได้ แว๊นมาได้พักนึง โอ้! บร๊ะเจ้า เจอร้านก๋วยเตี๋ยวข้างทาง แวะล่ะนะ ทุกคนไม่รอช้าจัดมาคนละชาม ก๋วยเตี๋ยวไม่น่าอร่อยเลย เป็นก๋วยเตี๋ยวแบบบ้านๆ (บ้านนอกก็เรียกได้) แต่! ขอบอก โค-ตะ-ระ อร่อย ดังนั้นมีบางคนขอสอง เล่นเอาแม่ค้ายิ้มไม่หุบ คงคิดในใจว่าวันนี้โชคดีจังมีลูกค้ามากินทีเดียวเกือบสิบชาม

เมื่อเติมพลังกันเรียบร้อย เราก็ออกเดินทางต่อ ระหว่างทางเราก็ยังแวะเก็บภาพทุ่งทานตะวันสวยๆ ไปเรื่อยๆ ทางที่เราไปก็ผ่านทั้งไร่ทานตะวัน ไร่อรุ่น ไร่อ้อยสีเขียวๆ สูดอากาศบริสุทธิ์ไปเรื่อยๆ ตอนไปเราไปทางมวกเหล็ก ผ่านอุโมงต้นไม้ด้วย อุโมงค์ต้นไม้ที่โด่งดัง เคยมีรายการทีวีหลายรายการมาถ่ายด้วยนะ ที่เรามาทางนี้ก็เพราะนัดเพื่อนอีกคนที่อยู่มวกเหล็กมาเจอกัน เพราะไม่ได้เจอกันนานมากเลยนัดมาเจอกันซะหน่อย รอพักนึงเพื่อนชายนาย อ. ก็มาถึง เราก็มุ่งหน้าไปเขื่อป่าสักฯ จนเที่ยงหรือเกือบบ่ายก็มาถึงทางเข้า เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์

ทางเข้าเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ก็เต็มไปด้วยร้านค้าไม่ว่าจะเป็นร้านขายเมล็ดทานตะวัน ผลไม้ ปลาแห้ง ปลาแดดเดียว ที่สำคัญร้านปลาเผา ว้าว! น้ำลายสอ อยากกินปลาเผา (เอาตัวโตๆ สั่งเป็นกิโล หนูชอบๆ) เราก็เลยเลือกร้านแถวๆ หน้าเขื่อนแล้วเข้าไปสั่งปลาเผาที่เราอยากกินพร้อมอาหารอื่นๆ มาอีกชุดใหญ่ให้สมกับการแว๊นมากินไกลๆ หลังจากสั่งเสร็จก็เมาส์อย่างเมามันส์เนื่องจากไม่ได้เจอกันนานก็ต้องเมาส์ให้หายคิดถึง

เมื่ออาหารที่สั่งมาพร้อม พวกเราก็หยุดเมาส์อัตโนมัติ หันมาก้มหน้าก้มตาจัดการอาหารที่สั่งมาทันที เมื่อกินกันจนอิ่มก็เริ่มคุยกันอีกครั้ง พอได้เวลาสมควรเราก็จ่ายเงินแล้วพากันเข้าไปในเขื่อน ขอบอกว่า คนเยอะมาก เนื่องจากวันนี้เป็นวันเสาร์นักท่องเที่ยวเลยเยอะมาก บริเวณเขื่อนที่ว่ากว้างกลับดูแคบไปถนัดตา เราก็หาที่จอดมอไซด์คู่ใจ แล้วก็เข้าไปหาที่นั่ง เราเลือกมุมนั่งได้ก็นั่งพัก คุยกัน ใครอยากถ่ายรูปก็ถ่าย ใครอยากให้อาหารปลาก็ซื้ออาหารปลา ใครอยากขี่ช้างก็มี ใครอยากนั่งรถชมวิวก็มีรถรางบริการ (แต่รถรางนี่คนเยอะมาก ต้องต่อคิวนานทีเดียว) ภายในเขื่อนก็มีบ้านพักสำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการค้างคืนด้วยนะ บ้านสวยๆ หลังใหญ่ๆ ทั้งนั้น ราคาก็ไม่แพงนะ ใครสนใจก็ไปกันได้ บรรยากาศในเขื่อนดีมากๆ ลมก็พัดมาเรื่อยๆ โอ้ย! อยากหลับสักตื่นจริง

เราใช้เวลาอยู่ในเขื่อนพักใหญ่ๆ บ่ายแก่ๆ เมื่อได้เวลาเราก็เตรียมตัวกลับ ก่อนกลับเราก็ต้องไม่ลืมของฝาก เพื่อนกี้นี่จะได้ของมากกว่าคนอื่นรู้สึกเพื่อนกี้จะลืมตัวทุกทีที่อยู่ในตลาด สิ่งหนึ่งที่เราพลาดไม่ได้ที่จะซื้อคือ เมล็ดทานตะวัน เพราะมันอร่อยและเมามันส์มากเวลาได้ลิ้มลอง โดยเฉพาะเวลาดูทีวีหรือนั่งคุยกัน คุยไปกินไปบางทีรู้ตัวอีกทีก็เต็มไปด้วยเปลือกเมล็ดทานตะวันแล้ว

การเดินทางกลับเราก็ยังคงแว๊นกลับแต่เป็นอีกเส้นทาง คราวนี้ผ่านร้านคุณกบ ปภัสราด้วย ร้านคุณกบมีร้านอาหาร คอกม้าและอื่นๆ อีกมากมาย แต่เราก็ไม่ได้แวะเพราะค่อนข้างเย็นมากแล้วกลัวกลับค่ำมากจะอันตราย แล้วก็ขับมาเจอฟาร์มเลี้ยงผึ้ง เราก็แวะดูแต่แอบเสียวผึ้งต่อยนะ เพราะผึ้งเยอะมาก ดูพักนึงก็ออกเดินทางจนมาเจอทางเดิมที่เป็นทุ่งทานตะวัน ถึงตอนนี้ก็ประมาณห้าโมงเย็น อาทิตย์กำลังจะตกดินโดยมีภูเขาอยู่ข้างหน้า และมีฉากหน้าเป็นทุ่งทานตะวันชูดอกสวยๆ เราก็เลยหยุดกันอีกเพื่อเก็บรูปสวยๆ แต่ละคนมีท่าทางการถ่ายรูปแตกต่างกันไม่มีใครยอมใครเลยทีเดียว พอหนำใจเราก็แว๊นกลับต่อไป จนกลับถึงบ้านก็ค่ำพอดี

ทริปนี้เป็นการเดินทางที่สนุก ตื่นเต้น (ลืมเล่าไป เฮียกับน้องกี้ลงไปวัดข้างทางด้วยนะ แต่ไม่เป็นไรมาก) บรรยากาศข้างทางไม่อาจหาได้ในเมือง อากาศบริสุทธิ์ สีเขียวของภูเขา ต้นไม้ตัดกับสีเหลืองของดอกทานตะวัน การได้พบเจอวิถีชีวิตของชาวบ้าน ทุกอย่างมันช่างลงตัวและมีความสุขจริงๆ ขอบคุณทริปนี้ที่ทำให้มีความสุขมาก แล้วไว้เจอกันใหม่ในทริปหน้า ยังมีทริปตื่นเต้นอีกเยอะที่ยังไม่ได้เล่า คอยเป็นกำลังใจให้ด้วยนะคร๊าบบบบบ...

วันอังคารที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2555

แบกเป้ บุกป่า ค้นหา "วังเหว"


การเดินทาง : กรุงเทพฯ-สระบุรี-ปากช่อง เลี้ยวขวาตามถนนขึ้นเขาใหญ่ เมื่อถึงสามแยกบ้านท่ามะปราง ให้เลี้ยวซ้ายไปตามถนน น.ม. 3052 โป่งตาลอง วังหมี บุเจ้าคุณ เป็นเส้นทางเดียวกับไป อ.วังน้ำเขียว เมื่อถึงบ้านบุเจ้าคุณ ก็จะมีป้ายบอกทางเข้าไปยังหน่วยฯ ขญ.4 คลองปลากั้ง 

ก็นานมากแล้วล่ะที่ได้ไปเดินป่าเขาใหญ่ แม้เวลาผ่านมาระยะหนึ่งแล้วแต่พอนึกถึงก็ต้องมีคำถามต่อว่า เราผ่านทริปแบบนั้นมาได้อย่างไร ทั้งไกล ทั้งโหด แต่ก็นะทั้งสนุก ตื่นเต้นดี เมื่อมีเรื่องสนุกแบบนี้ก็ขอเล่าประสบการณ์ให้เพื่อนๆ ฟังบ้างดีกว่า เผื่อใครสนใจจะไปทริปนี้บ้าง

จุดเริ่มต้นมันมาจากความไม่ตั้งใจมากกว่า ก็ตอนนั้นเพิ่งเรียนจบและเริ่มทำงานใหม่ๆ เราทำงานอยู่ที่สระบุรี แต่ลูกค้าเราอยู่กรุงเทพฯ เกือบทั้งหมด เรื่องมันก็มาจากลูกค้าเราเองนี่แหล่ะ คือหัวหน้าเรา ขอเรียกว่า "พี่ตี้" นะ ไปติดต่องานลูกค้าที่กรุงเทพฯ ส่วนเราเป็นเด็กใหม่ก็ทำงานที่สระบุรี วันหนึ่งพี่ตี้ก็บอกเราว่า 
พี่ตี้: ลูกค้า (ขอเรียกพี่ๆ ลูกค้ากลุ่มนี้ว่า กลุ่ม Abp) ชวนไปเที่ยว 
เรา: เที่ยวแบบไหน?
พี่ตี้: เดินป่า 
เรา: ป่าที่ไหน? 
พี่ตี้: น้ำตกวังเหว เขาใหญ่
เรา: ไม่ไปดีกว่า (น่าจะเหนื่อย ไม่น่าสนุก)
พี่ตี้: ไปเถอะ น่าสนุกดี
เรา: ไม่ไปดีกว่า 
พี่ตี้: ไปเถอะ น่าสนุกดี ไปด้วยกัน
เราเลยถามเพื่อนๆ (ลืมบอก เราอยู่กับเพื่อนอีก 2 คน ขอเรียกว่า "ลี่" และ "กี้") 
เรา: กี้ กับ ลี่ พี่ตี้ชวนไปเที่ยว ไปป่าว เดินป่า
กี้ กับ ลี่: ไม่ดีกว่า ฟังดูเหนื่อยอ่ะ 
เรา: พี่ตี้ พวกเราไม่ไปอ่ะ 
พี่ตี้: ไปเถอะ ไปด้วยกัน สนุกดีนะ (ตื้อๆๆๆๆ)
สุดท้ายพวกเราก็ใจอ่อน ตกลงไปทริปนี้จนได้

วันเดินทางก็มาถึง วันนั้นเป็นเย็นวันศุกร์ เราพร้อมเพื่อนเตรียมเป้พร้อมอุปกรณ์เดินป่า ส่วนพี่ตี้ก็ไปกรุงเทพฯ มาพร้อมพี่ๆ Abp เลย เมื่อมาถึงพี่ตี้ก็แนะนำพวกเรากับ พี่ๆ Abp ที่มาพร้อม นับดูประมาณ 7-8 คน รวมกับพวกเราอีก 4 คนก็ประมาณ 10 กว่าคน เราเริ่มเดินทางออกจากสระบุรีประมาณ 5 ทุ่ม (จำไม่ได้ว่ากี่ทุ่มแน่ แต่ประมาณนี้) การเดินทางก็ไปตามเส้นทาง กรุงเทพฯ-สระบุรี-ปากช่อง-วังน้ำเขียว ใช้เวลา 3 ชม.กว่าๆ หรือเกือบ 4 ชม. เพราะไม่มีใครชำนาญทาง อีกอย่างคืนนั้นเดือนมืดมาก เมื่อมาถึงหน่วยฯ ขญ.4 คลองปลากั้ง ก็ยังไม่สว่าง การเดินทางไปน้ำตกจะอกเช้ามืด ดังนั้นเราจึงหาที่นอนที่หน่วยฯ ขญ.4 คลองปลากั้งก่อน ขอบอกคืนนั้นลมแรงมาก

เช้ามืดเราก็ถูกปลุกและให้เตรียมเดินทาง โอ้ย! ยังไม่อยากตื่นเลย ไม่อยากไป แต่ก็ต้องไป การเดินทางเรามีเจ้าหน้าที่ของหน่วยฯ ขญ.4 คลองปลากั้งนำทาง 2 คน เริ่มออกเดินจาก หน่วยฯ ขญ.4 คลองปลากั้งเข้าป่าไปเรื่อยๆ พอเริ่มเช้ายิ่งมองเห็นสิ่งรอบๆ ตัว แต่ที่น่าตกใจคือ ภูเขาขนาดใหญ่ที่อยู่ด้านหน้าของพวกเรา 
โอ้! ไม่นะคงไม่ต้องเดินขึ้นเขาลูกนี้นะ แต่เจ้าหน้าที่แจ้งว่าเราต้องเดินขึ้นเขาลูกนี้ ตอนขึ้นอากาศจะอบ จะหอบเลยแหล่ะ หลังขึ้นเขาก็จะเดินต่อไปอีก ระยะทางการเดินก็เกือบ 20 กม. 
พระเจ้า! ไม่นะ ฉันจะเดินไปได้อย่างไร ยิ่งเพื่อนลี่ของเรานะตัวก็เล็กจะเดินงัยไหว แต่ the show must go on เอาว่ะ เดินก็เดิน ไปด้วยกันมาด้วยกันเลือดสุพรรณ

การเดินทางผ่านป่าดง (ดิบ) แรกๆ แรงยังดีก็พูดคุยกัน ร้องเพลงกัน แต่พอนานๆ ไป อีกทั้งหนื่อย ทั้งหนัก นึกในใจ ฉันมาทำอะไรที่นี่ แต่ก็ต้องเดินต่อ เดินไปก็พักไปตลอดทาง เดินไปเรื่อยๆ ประมาณบ่ายโมงก็พักกินข้าวที่ห่อมา โอ้โห! อร่อยที่สุดในโลก (สงสัยจะเหนื่อยด้วยเลยอร่อยใหญ่) พออิ่มก็เดินต่อ เดิน เดิน และก็เดิน ระหว่างเดินก็คิดว่าเมื่อไรจะถึง สุดท้ายถึงบ่ายแก่ๆ ไม่แน่ใจบ่าย 3 หรือ 4 โมงเย็น พอถึงที่เท่านั้นแหล่ะ โอ้โห! น้ำตกใหญ่มากเลย เสียแต่ช่วงที่ไปเป็นหน้าแล้ว แต่งัยก็ยังสวยอยู่ดี พักเหนื่อยเสร็จพวกเราเริ่มเตรียมที่นอน พวกเราน้องใหม่ที่มาได้รับการดูแลจากพี่ๆ Abp อย่างดี ทั้งกางเต๊นท์ ฟลายชีท พร้อมอาหาร (ง่ายๆ แต่ทำไมอร่อยเวอร์!) กว่าจะได้กินอาหารเย็น็มืดแล้ว เพราะในป่ามืดเร็วมาก 

พวกพี่ๆ Abp ทำอาหารง่ายๆ ให้เรากิน หุงข้าวหม้อสนาม ปลากระป๋อง มาม่าต้ม พวกเรานั่งล้อมวงกินข้าวรอบกองไฟ กินไปคุยไป พอกินเสร็จก็คุยกันสักพักก็แยกย้ายกันไปนอน เพราะเหนื่อยมาทั้งวัน อ้อ! ลืมไปว่าเจ้าหน้าที่ที่นำทางมาบอกว่าจะไปไหนให้มีเพื่อนไปด้วย กลางค่ำกลางคืนอันตรายจากสัตว์ป่า แถวนีมีหมีด้วย พวกเราก็ขนลุกเสียวสันหลังขึ้นมาทันีก่อนแยกย้ายกันไปนอนเป็นอันจบทริปวันที่ 1 

เช้าวันที่ 2 พี่ๆ Abp ก็ตื่นก่อนอีกตามเคย ตื่นมาหุงหาอาหารให้พวกเรากิน พวกเราตื่นมาก็ต้องแต่งเนื้อแต่งตัวก่อน แต่ปัญหาคือการอาบน้ำนี่แหล่ะ (ที่จริงการอาบน้ำเป็นปัญหาตั้งแต่ย็นวานแล้ว) ปัญหาส่วนใหญ่เกิดกับเพื่อนเรามากกว่า ปัญหาคือไม่มีห้องน้ำ ต้องอาบน้ำตกโดยการนุ่งโจงกระเบน ปัญหาคือเพื่อเราไม่เคยนุ่งโจงกระเบน เวลาอาบจะหลุดมั้ย? ก็อาบแบบทุลักทะเลพอสมควร พอแต่งเนื้อแต่งตัวเสร็จก็มากินข้าว (พวกเราเป็นคุณนายจริงๆ มีคนเตรียมอาหารให้ด้วย) พอกินเสร็จเจ้าหน้าที่ก็แจ้งว่าจะพาเดินไปดูรอยเท้าไดโนเสาร์ ซึ่งอยู่ห่างไปประมาณ 1 กม. ทุกคนก็บอกสบายมาก เดินมาเมื่อวานมากกว่านี้เยอะ พอกินข้าวเสร็จนั่งพักผ่อนกันไป ชมน้ำตกกันไป พอสายๆ ก็เตรียมตัวออกเดินทาง พวกน้องใหม่ก็เตรียมขนมดิคร๊าบ อย่างอื่นไม่มี อาศัยพี่ๆ Abp เช่นเคย (ไม่ได้นึกถึงพี่เขาเลยว่าต้องแบกอะไรไปให้บ้าง) พอเริ่มเดินทางก็ผ่านป่าดงดิบไปเรื่อยๆ ต้นไม้สูงๆ ทั้งนั้นเพราะอยู่แนวไหล่เขา เราค่อยๆ เดินไป บางครั้งทางบางช่วงอยู่ไหล่เขา การเดินก็ต้องระวังอย่างมาก เดินไปก็ โอ้! 1 กม.เหรอเนี่ย ทำไมไม่ถึงซะที อยู่บ้านเดินไม่เกิน 10 นาทีก็ถึงแล้ว เราเดินไปพักใหญ่ๆ เลยจึงมาถึงรอยไดโนเสาร์บนหิน พวกเราก็ถ่ายรูป เก็บภาพความประทับใจ (ทีตอนถ่ายรูปไม่มีใครบ่นเลย แย่งซีนกันตลอดๆ) พอเต็มอิ่มแล้วเราก็เดินทางกลับ ตอนกลับเรากลับอีกทาง ซึ่งเดินไปตามลำห้วย  (ตอนนั้นน้ำแห้งนะ ถ้าหน้าฝนคงไม่ดีถ้าเดินแบบนี้เพราะเสี่ยงกับน้ำป่ามาก) ทีนี้แหล่ะเดินสบาย เพื่อนกี้ของเราก็เริ่มร้องเพลงขับกล่อมเพื่อนตลอดทางเลย (แต่ว่าก็ว่านะ เพื่อนกี้นี่ร้องเพลงเพราะนะ ร้องได้ทุกแนว โดยเฉพาะช่วงนี้ เพื่อนกี้มักนึกว่าตัวเองเป็นต่าย อรทัย) เดินมาพักใหญ่ๆ ก็ถึงที่พักของพวกเรา เราพักหายเหนื่อยแล้วกกินข้าวเที่ยงกัน หลังกินข้าวเสร็จก็แล้วแต่ใครจะทำไรเลย บางคนนอน (หมดแรง) บางคนเดินมน้ำตก บางคนส่งนกเงือก บางคนถ่ายรูป ตามแต่ใครอยากทำเลย

พอบ่ายแก่ๆ พี่ๆ บางคนก็บอกเราจับปลามาทำกับข้าวกันดีมั้ย (สงสัยอารมณ์นั้นคงนึกว่าเราจะจับได้เหมือนในละครทีวี) เราก็หาสารพัดวิธีมาจับปลา แล้วสุดท้ายเราก็รู้แล้วว่า การจับปลาในน้ำตกมันมีเฉพาะในละครทีวีเท่านั้น เรื่องจริงจับไม่ได้เลย อิอิ
ในเมื่อเปียกปอนกันแล้วก็เล่นน้ำตกซะเลย พวกเรา ผู้หญิงที่ไปก็เปลี่ยนชุดเป็นชุดอาบน้ำ (โบราณ) คือกระโจมอก เพื่อนลี่กับเพื่อนกี้ต้องเซฟนิดหน่อยด้วยเชือกฟาง เพื่อไม่ให้ผ้าหลุด อิอิ เราเล่นน้ำนานมาก ประมาณ 2 ชม. เพราะน้ำตกจากธรรมชาตินี่สดชื่นจริงๆ เล่นจนเขียวและสั่นจึงขึ้น ขึ้นมาเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยก็ได้เวลาอาหารเย็น (พี่ๆ Abp เตรียมอีกแล้ว สรุปผู้ชายเป็นพ่อครัวดีกว่าพวกเราอีก) 
วันที่ 2 นี้การกินข้าวออกรสมากขึ้น เพราะเราหายเหนื่อยบ้างแล้ว กินไปคุยกันไป เจ้าหน้าที่แกก็ปล่อยมุขตลอดๆ แต่ที่ชอบมากคือ แกบอกว่าแกมีเมียฝรั่ง เราก็ถามว่าประเทศไหน แกบอก ประเทศไทยนี่แหล่ะ มันเคยเป็นเมียฝรั่งมาก่อนมาเจอลุง พวกเราหัวเราะท้องขดท้องแข็งเลย เมียฝรั่ง นั่งคุยกันพักใหญ่ๆ ก็เริ่มง่วง จึงแยกย้ายกันไปนอน 

เช้าวันที่ 3 เราก็ตื่นเช้ากว่าวันที่ 2 วันนี้ต้องเดินทางกลับ เราก็เลยตื่นไปเก็บภาพรอบๆ น้ำตกซะหน่อย เบภาพจนหนำใจก็มากินข้าวเช้า พอกินเสร็จก็เตรียมเก็บของกลับ ก่อนเดินทางกลับก็ไม่ลืมเก็บภาพหมู่เป็นที่ระลึก เสร็จแล้วก็ออกเดินทางกลับ ระหว่างทางกลับเพื่อนกี้ก็ร้องเพลงให้พวกเราฟังไปตลอดทาง แต่รู้สึกว่าตอนกลับมันจะสบายกว่าตอนมา และก็ถึงหน่วยฯ ขญ.4 คลองปลากั้ง เร็วกว่าตอนไป 

แต่เรายังไม่จบทริปแค่นั้น เราจะไปดูกระทิงต่อ เจ้าหน้าที่ก็พาเราไปซุ่มดูกระทิง ซึ่งจะมีส่วนที่เขาเตรียมไว้ เช่นทำกระท่อมสูงๆ ไว้ซุ่มดู กฎการดูคือ ห้ามเสียงดัง ห้ามทำให้กระทิงตกใจ เช่นถ่ายรูปโดยใช้แฟลซกระทิงจะตกใจ ห้ามใส่น้ำหอมกระทิงจะได้กลิ่น เราซุ่มดูใกล้ๆ กับโป่ง ที่กระทิงจะมากิน (โป่งคือ พื้นดินบริเวณที่มีแร่ธาตุสะสมแล้วมีสัตว์มากิน) เรารอพักใหญ่ๆ กระทิงก็มาให้เห็น แต่เจ้าหน้าที่บอกว่าวันนี้เหมือนกระทิงรู้ว่าเรามาเลยไม่ค่อยออกมา เราซุ่มดูพักใหญ่ๆ จนเริ่มค่ำ จึงต้องกลับด้วยความเสียดายที่ได้ดูนิดเดียว

เรายังไม่กลับเลย เพราะเจ้าหน้าที่ชวนเราไปกินข้าว (สงสัยติดใจพวกเราแล้ว) พวกเราก็ไม่ขัดศรัทธา ไปกินข้าวถามแกชวน เป็นอาหารบ้านป่า แต่สุดยอด อร่อยมากที่สุดในสามโลก กินไปคุยไป เจ้าหน้าที่แกบอกว่า ว่างๆ ก็มาอีกนะ พวกเราคุยไปกินไปอย่างออกรส จนอิ่มแล้วพวกเราก็ขอลากลับ พี่ๆ Abp ก็แวะส่งเราที่สระบุรีตอนดึกๆ ก่อนกลับเข้ากรุงเทพฯ เพื่อเริ่มทำงานวันจันทร์หลังจากไปชาร์ทแบตมาเต็มที่

การเดินทางทริปนี้บอกตั้งแต่ต้นว่าไปแบบไม่ตั้งใจ แต่ไปแล้วกลับประทับใจมาก ทั้งเหนื่อย สนุก ผจญภัย ตื่นเต้น หากไม่ไปคงเสียใจที่พลาดทริปดีๆ นี้ไป พลาดโอกาสให้ได้มารู้จักพี่ๆ กลุ่ม Abp ขอบคุณชะตที่ทำให้พวกเราได้มารูปจักกัน ซึ่งมันเป็นจุดเรื่มต้นของการเดินทางของกลุ่มเรา Abp ซึ่งตอนนี้เรา เพื่อนลี่ เพื่อนกี้ พี่ตี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของ Abp และร่วมทำกิจกรรมดีๆ ต่อๆ มา การทำอะไรให้เราใช้ใจทำ ทำด้วยความรู้สึกอยากทำจริงๆ อย่ายึดติดกฎเกณฑ์มากแล้วเราจะมีความสุข

วันอาทิตย์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2555

หาดวนกร (วะ-นะ-กอน) แบกเป้ นั่งรถไฟ ไปกางเต๊นท์นอนทะเล

ฝันไว้ตั้งแต่เด็กๆ ว่าอยากจะไปเที่ยวไกลๆ ผจญภัยเล็กน้อย ตื่นเต้นหน่อยๆ จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้ไป (จะถามว่าทำไม? ใช่มั้ยล่ะ) ก็ด้วยความที่เป็นเด็กบ้านนอก (แต่ก็ไม่ห่างไกลความเจริญนะ) พ่อแม่ต้องทำงานก็เลยไม่ได้ไปไหน (จะว่าไปก็เคยไปนะพวกแบกเป้ ผจญภัยเนี่ย ก็เข้าค่ายเนตรนารีงัย)

ทริปแรกการแบกเป้เที่ยวแบบผจญภัยเริ่มขึ้นครั้งแรกเมื่อเริ่มทำงาน (หลังเรียนจบ) มันมีสาเหตุ ก็ไอ้ความที่ชอบเพ้อฝันเล่าให้คนโน้นคนนี้ฟัง พี่หัวหน้างานเลยจัดให้ (เหมือนเป็นรางวัลที่ทำงานเสร็จ) ทริปแรกไปหาดวนกร (หาด-วะ-นะ-กอน) เริ่มต้นทริปโดยการหาข้อมูล โทรติดต่อเจ้าหน้าที่ (สำเนียงเน่อๆ แต่น่ารัก) และสรุปโปรแกรมการเดินทาง 3 วัน 2 คืน เดินทางโดยรถไฟ (ตอนนั้นยังไม่ฟรี) สมาชิกก็ สาว สาว สาว + สาวใหญ่ รวม เริ่มต้น 4 สาว

เริ่มเดินทางตอนเกือบตี 3 ของเช้าวันเสาร์ นั่งรถไฟจากสถานีชุมทางแก่งคอยชั้น 3 (ที่จริงแทบจะนอนเพราะง่วง) ถึง กทม. ตี 5 ก็เรียกพี่ TAXI ไปส่งที่สถานีรถไฟอ้อมน้อย แป๊บเดียวถึงแล้ว แต่รถไฟกว่าจะออกอีกตั้งนาน หาไรกินดีกว่า หาไปหามาได้หมูปิ้งชุดนึง พอกินอิ่มมีหนุ่มๆ ตามมาสบทบ (เชอร์ไพร ตื่นเต้นมีผู้ชายไปด้วย)

นั่งรถไฟออกจากกรุงเทพฯ ผ่านสถานีแล้วสถานีเล่าเข้าสู่นครปฐม หลับแล้วหลับอีกก็ต้องตื่นเมื่อมีแม่ค้าตะโกนขายขนม ไหนๆ ก็ตื่นแล้วกินขนมที่เตรียมมาดีกว่า พออิ่มก็แอบถ่ายรูปเพื่อนที่หลับ (ซะงั้น) แล้วก็มองวิวนอกหน้าต่าง โอ้โห! สวยจัง ต้นตาลกลางทุ่งนา ไร่สับประรด ภูเขาสีเขียว นั่นแน่เราเริ่มเข้าเขตจังหวัดเพชรบุรีแล้ว นั่งอีกพักใหญ่ๆ ก็เข้าเขตประจวบ (ยังไม่ถึงที่หมายนะ อย่าเพิ่งดีใจไป) ตอนนี้ก็ประมาณบ่ายๆ แล้ว ผ่านสถานีหัวหิน และอีกพักใหญ่ก็มาถึงสถานีปลายทาง บางสะพาน สถานีห้วยยาง แล้วเหมารถรับจ้างเข้าไปอุทยานหาดวนกร (เกือบเย็นทีเดียว) อ่ะลืมไป ก่อนเข้าที่พักก็แวะหาเสบียงก่อน วันนี้ไม่จัดหนัก เอาเบาๆ พวกมาม่า ปลากระป๋องไปก่อนล่ะกัน (หนูหมดแรงจากการนั่งรถไฟ หนูเหนื่อย) พอเข้าที่พักก็ไม่รอช้ารีบกางเต็นท์ ทำอาหาร อาบน้ำ คุยกันสักพักก็นอน

วันที่ 2 ของการเที่ยว ที่จริงไม่มีโปรแกรมไปไหน เพราะตั้งใจมาพักผ่อน นอนชายหาด ฟังเสียงคลื่น พวกเราก็ตื่น (ไม่) เช้ามาดูพระอาทิตย์ขึ้น (นานล่ะ) น้ำใส ทรายสวย คนไม่พลุกพล่าน พอเต็มอิ่มก็มาเริ่มทำอาหารเช้า (ที่จริงพี่ผู้ชายที่ไปด้วยทำรอล่ะ) สาว สาว สาว ก็ไปอาบน้ำ ซึ่งเป็นห้องน้ำ (รวม) ของอุทยาน ก็สะอาดดี แยกชาย-หญิง (และ... หรือป่าวจำไม่ได้) หลังจากนั้นก็ล้อมวงกินข้าว พอสายๆ ก็เริ่มเล่นโน่นนี่ไปเรื่อย (หาสาระไม่ได้) จะถามล่ะซิ ทำไมไม่เล่นน้ำทะเล? ก็ยังไม่อยากเล่น เดี๋ยวดำ (ทั้งที่คล้ำอยู่แล้ว) ก็เลยคิดว่าเย็นนี้จะกินไรดี เราเสนอเลยอยากกินมื้อใหญ่ๆ ประเภทปิ้งย่าง หมึก หอย ปูทุกคน ok ด้วย งั้นเราจะไปซื้อยังงัย ก็เลยไปถามเจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่ (เสียงเหน่อ) น่ารักมาก ให้คำแนะนำเรามากมาย สุดท้ายสรุปว่า เช่าเตาปิ้งย่างจากเจ้าหน้าที่ 1 เตา สั่งอาการทะเลเจ้าหน้าที่ชุดใหญ่ แค่คิดถึงน้ำจิ้มรสเด็ดก็น้ำลายสอแล้ว

เสร็จภารกิจไปอย่าง ยังไม่ค่ำทำไรดี สมาชิกคนหนึ่งมองไปเห็นเรือสปีดโบ้ทกำลังออกจากหาด ก็เลยถามกันว่าเขาไปไหน มีคำตอบกลับมาว่าเขาไปดำน้ำดูปะการังที่เกาะจาน เราเลยบอกอยากไป (จริงๆ นะ) พี่หัวหน้าทริปเลยสอบถามข้อมูล (พร้อมต่อราคาเรียบร้อย) เอะ! ยังไม่ได้ถามสมาชิกครบเลย ใครไป? ไม่ไป? (เริ่มจะเผด็จการล่ะ) เพราะบางคนว่ายน้ำไม่เป็น แต่ก็ช่าง ยังงัยตกลงแล้วก็ต้องไป สรุปมีพี่ผู้ชาย (ที่ว่ายน้ำไม่เป็น) เฝ้าค่ายพร้อมเตรียมอาหารเย็นรอ เราออกเดินทางไปพร้อมกับอีกกรุ๊ป กลุ่ม สว. (อย่าเข้าใจผิด ส.ว. ย่อมาจาก สูงวัย) แต่ละคนวัยรุ่นมาก เรางี้เมาเรือสู้ไม่ได้ พอเริ่มดำน้ำเราก็รีบๆ ดำ เพราะเราเมาเรือ และอีกอย่างเรามาบ่ายน้ำขุ่น เห็นปะการังไม่ชัด แต่ก็เยอะเหมือนกันนะ (ใครอยากไปดูก็ลองไปนะ) มีสาวหนึ่งว่ายน้ำไม่เป็นยังอุตส่าห์ดำน้ำเลย (ปะการังคงสวย คุณไม่อยากลองบ้างเหรอ)

เริ่มปาร์ตี้ พอกลับจากดำนำ โอ้ย! เราเมาเรือ (ทีอย่างอื่นไม่ค่อยจะเมา) หมดแรงรีบอาบน้ำเลย พักสักครู่ก็มีเพื่อนของพี่ในทริปที่บ้านอยู่แถวนั้นมาเยี่ยมพร้อมของฝาก (จำไม่ผิดเป็น หลนปู) พวกเราก็เริ่มปาร์ตี้ซีฟู๊ดเลย อร่อยมาก กินไปคุยไปจนค่ำก็กินไม่หมด (ขอบอกอาหารทะเลที่นี่ถูกมาก) สุดท้ายกินไม่ไหวเลยนั่งคุยกันไปพร้อมชมจันทร์ (วันนั้นเหมือนจะเป็นฟลูมูนเพราะพระจันทร์สวยมาก) สักพักแขกที่มาก็ลากลับ สักพักเราก็แยกย้ายเข้าเต๊นท์นอน มีบางคนผูกเปลนอนก็มี

วันสุดท้ายของทริป พยายามตื่นเช้ามาดูพระอาทิตย์ (แต่ก็ไม่ทันอยู่ดี) ก็เลยเดินชายหาด ปล่อยอารมณ์ไปตามสบายก่อนกลับ เมื่อสมควรแก่เวลาเราก็เตรียมตัวกับ กทม. ก่อนกลับก็ไม่ลืมถ่ายรูปที่ระทึก เอ้ย! ระลึก พี่เจ้าหน้าที่ใจดีก็ขับรถมาส่งปากทางเข้าอุทยาน พวกเรายืนรอรถทัวร์กลับ กทม. ยืนรอ (จนเมื่อย) พักใหญ่ๆ รถทัวร์ก็มาพวกเราก็โบกรถและขึ้นนั่งกลับ กทม. ถึง กทม. ก็เกือบเย็น สาว สาว สาว ก็นั่งรถกลับแก่งคอยสระบุรีต่อ

ทริปแรกสมใจมาก แบกเป้ ผจญภัย ใครอยากไปบ้างก็ไม่ว่ากันนะ

อย่าลืมติดตามทริปหน้านะ รับรองมีเรื่องสนุกมาฝากแน่ๆ