วันอังคารที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2555

แบกเป้ บุกป่า ค้นหา "วังเหว"


การเดินทาง : กรุงเทพฯ-สระบุรี-ปากช่อง เลี้ยวขวาตามถนนขึ้นเขาใหญ่ เมื่อถึงสามแยกบ้านท่ามะปราง ให้เลี้ยวซ้ายไปตามถนน น.ม. 3052 โป่งตาลอง วังหมี บุเจ้าคุณ เป็นเส้นทางเดียวกับไป อ.วังน้ำเขียว เมื่อถึงบ้านบุเจ้าคุณ ก็จะมีป้ายบอกทางเข้าไปยังหน่วยฯ ขญ.4 คลองปลากั้ง 

ก็นานมากแล้วล่ะที่ได้ไปเดินป่าเขาใหญ่ แม้เวลาผ่านมาระยะหนึ่งแล้วแต่พอนึกถึงก็ต้องมีคำถามต่อว่า เราผ่านทริปแบบนั้นมาได้อย่างไร ทั้งไกล ทั้งโหด แต่ก็นะทั้งสนุก ตื่นเต้นดี เมื่อมีเรื่องสนุกแบบนี้ก็ขอเล่าประสบการณ์ให้เพื่อนๆ ฟังบ้างดีกว่า เผื่อใครสนใจจะไปทริปนี้บ้าง

จุดเริ่มต้นมันมาจากความไม่ตั้งใจมากกว่า ก็ตอนนั้นเพิ่งเรียนจบและเริ่มทำงานใหม่ๆ เราทำงานอยู่ที่สระบุรี แต่ลูกค้าเราอยู่กรุงเทพฯ เกือบทั้งหมด เรื่องมันก็มาจากลูกค้าเราเองนี่แหล่ะ คือหัวหน้าเรา ขอเรียกว่า "พี่ตี้" นะ ไปติดต่องานลูกค้าที่กรุงเทพฯ ส่วนเราเป็นเด็กใหม่ก็ทำงานที่สระบุรี วันหนึ่งพี่ตี้ก็บอกเราว่า 
พี่ตี้: ลูกค้า (ขอเรียกพี่ๆ ลูกค้ากลุ่มนี้ว่า กลุ่ม Abp) ชวนไปเที่ยว 
เรา: เที่ยวแบบไหน?
พี่ตี้: เดินป่า 
เรา: ป่าที่ไหน? 
พี่ตี้: น้ำตกวังเหว เขาใหญ่
เรา: ไม่ไปดีกว่า (น่าจะเหนื่อย ไม่น่าสนุก)
พี่ตี้: ไปเถอะ น่าสนุกดี
เรา: ไม่ไปดีกว่า 
พี่ตี้: ไปเถอะ น่าสนุกดี ไปด้วยกัน
เราเลยถามเพื่อนๆ (ลืมบอก เราอยู่กับเพื่อนอีก 2 คน ขอเรียกว่า "ลี่" และ "กี้") 
เรา: กี้ กับ ลี่ พี่ตี้ชวนไปเที่ยว ไปป่าว เดินป่า
กี้ กับ ลี่: ไม่ดีกว่า ฟังดูเหนื่อยอ่ะ 
เรา: พี่ตี้ พวกเราไม่ไปอ่ะ 
พี่ตี้: ไปเถอะ ไปด้วยกัน สนุกดีนะ (ตื้อๆๆๆๆ)
สุดท้ายพวกเราก็ใจอ่อน ตกลงไปทริปนี้จนได้

วันเดินทางก็มาถึง วันนั้นเป็นเย็นวันศุกร์ เราพร้อมเพื่อนเตรียมเป้พร้อมอุปกรณ์เดินป่า ส่วนพี่ตี้ก็ไปกรุงเทพฯ มาพร้อมพี่ๆ Abp เลย เมื่อมาถึงพี่ตี้ก็แนะนำพวกเรากับ พี่ๆ Abp ที่มาพร้อม นับดูประมาณ 7-8 คน รวมกับพวกเราอีก 4 คนก็ประมาณ 10 กว่าคน เราเริ่มเดินทางออกจากสระบุรีประมาณ 5 ทุ่ม (จำไม่ได้ว่ากี่ทุ่มแน่ แต่ประมาณนี้) การเดินทางก็ไปตามเส้นทาง กรุงเทพฯ-สระบุรี-ปากช่อง-วังน้ำเขียว ใช้เวลา 3 ชม.กว่าๆ หรือเกือบ 4 ชม. เพราะไม่มีใครชำนาญทาง อีกอย่างคืนนั้นเดือนมืดมาก เมื่อมาถึงหน่วยฯ ขญ.4 คลองปลากั้ง ก็ยังไม่สว่าง การเดินทางไปน้ำตกจะอกเช้ามืด ดังนั้นเราจึงหาที่นอนที่หน่วยฯ ขญ.4 คลองปลากั้งก่อน ขอบอกคืนนั้นลมแรงมาก

เช้ามืดเราก็ถูกปลุกและให้เตรียมเดินทาง โอ้ย! ยังไม่อยากตื่นเลย ไม่อยากไป แต่ก็ต้องไป การเดินทางเรามีเจ้าหน้าที่ของหน่วยฯ ขญ.4 คลองปลากั้งนำทาง 2 คน เริ่มออกเดินจาก หน่วยฯ ขญ.4 คลองปลากั้งเข้าป่าไปเรื่อยๆ พอเริ่มเช้ายิ่งมองเห็นสิ่งรอบๆ ตัว แต่ที่น่าตกใจคือ ภูเขาขนาดใหญ่ที่อยู่ด้านหน้าของพวกเรา 
โอ้! ไม่นะคงไม่ต้องเดินขึ้นเขาลูกนี้นะ แต่เจ้าหน้าที่แจ้งว่าเราต้องเดินขึ้นเขาลูกนี้ ตอนขึ้นอากาศจะอบ จะหอบเลยแหล่ะ หลังขึ้นเขาก็จะเดินต่อไปอีก ระยะทางการเดินก็เกือบ 20 กม. 
พระเจ้า! ไม่นะ ฉันจะเดินไปได้อย่างไร ยิ่งเพื่อนลี่ของเรานะตัวก็เล็กจะเดินงัยไหว แต่ the show must go on เอาว่ะ เดินก็เดิน ไปด้วยกันมาด้วยกันเลือดสุพรรณ

การเดินทางผ่านป่าดง (ดิบ) แรกๆ แรงยังดีก็พูดคุยกัน ร้องเพลงกัน แต่พอนานๆ ไป อีกทั้งหนื่อย ทั้งหนัก นึกในใจ ฉันมาทำอะไรที่นี่ แต่ก็ต้องเดินต่อ เดินไปก็พักไปตลอดทาง เดินไปเรื่อยๆ ประมาณบ่ายโมงก็พักกินข้าวที่ห่อมา โอ้โห! อร่อยที่สุดในโลก (สงสัยจะเหนื่อยด้วยเลยอร่อยใหญ่) พออิ่มก็เดินต่อ เดิน เดิน และก็เดิน ระหว่างเดินก็คิดว่าเมื่อไรจะถึง สุดท้ายถึงบ่ายแก่ๆ ไม่แน่ใจบ่าย 3 หรือ 4 โมงเย็น พอถึงที่เท่านั้นแหล่ะ โอ้โห! น้ำตกใหญ่มากเลย เสียแต่ช่วงที่ไปเป็นหน้าแล้ว แต่งัยก็ยังสวยอยู่ดี พักเหนื่อยเสร็จพวกเราเริ่มเตรียมที่นอน พวกเราน้องใหม่ที่มาได้รับการดูแลจากพี่ๆ Abp อย่างดี ทั้งกางเต๊นท์ ฟลายชีท พร้อมอาหาร (ง่ายๆ แต่ทำไมอร่อยเวอร์!) กว่าจะได้กินอาหารเย็น็มืดแล้ว เพราะในป่ามืดเร็วมาก 

พวกพี่ๆ Abp ทำอาหารง่ายๆ ให้เรากิน หุงข้าวหม้อสนาม ปลากระป๋อง มาม่าต้ม พวกเรานั่งล้อมวงกินข้าวรอบกองไฟ กินไปคุยไป พอกินเสร็จก็คุยกันสักพักก็แยกย้ายกันไปนอน เพราะเหนื่อยมาทั้งวัน อ้อ! ลืมไปว่าเจ้าหน้าที่ที่นำทางมาบอกว่าจะไปไหนให้มีเพื่อนไปด้วย กลางค่ำกลางคืนอันตรายจากสัตว์ป่า แถวนีมีหมีด้วย พวกเราก็ขนลุกเสียวสันหลังขึ้นมาทันีก่อนแยกย้ายกันไปนอนเป็นอันจบทริปวันที่ 1 

เช้าวันที่ 2 พี่ๆ Abp ก็ตื่นก่อนอีกตามเคย ตื่นมาหุงหาอาหารให้พวกเรากิน พวกเราตื่นมาก็ต้องแต่งเนื้อแต่งตัวก่อน แต่ปัญหาคือการอาบน้ำนี่แหล่ะ (ที่จริงการอาบน้ำเป็นปัญหาตั้งแต่ย็นวานแล้ว) ปัญหาส่วนใหญ่เกิดกับเพื่อนเรามากกว่า ปัญหาคือไม่มีห้องน้ำ ต้องอาบน้ำตกโดยการนุ่งโจงกระเบน ปัญหาคือเพื่อเราไม่เคยนุ่งโจงกระเบน เวลาอาบจะหลุดมั้ย? ก็อาบแบบทุลักทะเลพอสมควร พอแต่งเนื้อแต่งตัวเสร็จก็มากินข้าว (พวกเราเป็นคุณนายจริงๆ มีคนเตรียมอาหารให้ด้วย) พอกินเสร็จเจ้าหน้าที่ก็แจ้งว่าจะพาเดินไปดูรอยเท้าไดโนเสาร์ ซึ่งอยู่ห่างไปประมาณ 1 กม. ทุกคนก็บอกสบายมาก เดินมาเมื่อวานมากกว่านี้เยอะ พอกินข้าวเสร็จนั่งพักผ่อนกันไป ชมน้ำตกกันไป พอสายๆ ก็เตรียมตัวออกเดินทาง พวกน้องใหม่ก็เตรียมขนมดิคร๊าบ อย่างอื่นไม่มี อาศัยพี่ๆ Abp เช่นเคย (ไม่ได้นึกถึงพี่เขาเลยว่าต้องแบกอะไรไปให้บ้าง) พอเริ่มเดินทางก็ผ่านป่าดงดิบไปเรื่อยๆ ต้นไม้สูงๆ ทั้งนั้นเพราะอยู่แนวไหล่เขา เราค่อยๆ เดินไป บางครั้งทางบางช่วงอยู่ไหล่เขา การเดินก็ต้องระวังอย่างมาก เดินไปก็ โอ้! 1 กม.เหรอเนี่ย ทำไมไม่ถึงซะที อยู่บ้านเดินไม่เกิน 10 นาทีก็ถึงแล้ว เราเดินไปพักใหญ่ๆ เลยจึงมาถึงรอยไดโนเสาร์บนหิน พวกเราก็ถ่ายรูป เก็บภาพความประทับใจ (ทีตอนถ่ายรูปไม่มีใครบ่นเลย แย่งซีนกันตลอดๆ) พอเต็มอิ่มแล้วเราก็เดินทางกลับ ตอนกลับเรากลับอีกทาง ซึ่งเดินไปตามลำห้วย  (ตอนนั้นน้ำแห้งนะ ถ้าหน้าฝนคงไม่ดีถ้าเดินแบบนี้เพราะเสี่ยงกับน้ำป่ามาก) ทีนี้แหล่ะเดินสบาย เพื่อนกี้ของเราก็เริ่มร้องเพลงขับกล่อมเพื่อนตลอดทางเลย (แต่ว่าก็ว่านะ เพื่อนกี้นี่ร้องเพลงเพราะนะ ร้องได้ทุกแนว โดยเฉพาะช่วงนี้ เพื่อนกี้มักนึกว่าตัวเองเป็นต่าย อรทัย) เดินมาพักใหญ่ๆ ก็ถึงที่พักของพวกเรา เราพักหายเหนื่อยแล้วกกินข้าวเที่ยงกัน หลังกินข้าวเสร็จก็แล้วแต่ใครจะทำไรเลย บางคนนอน (หมดแรง) บางคนเดินมน้ำตก บางคนส่งนกเงือก บางคนถ่ายรูป ตามแต่ใครอยากทำเลย

พอบ่ายแก่ๆ พี่ๆ บางคนก็บอกเราจับปลามาทำกับข้าวกันดีมั้ย (สงสัยอารมณ์นั้นคงนึกว่าเราจะจับได้เหมือนในละครทีวี) เราก็หาสารพัดวิธีมาจับปลา แล้วสุดท้ายเราก็รู้แล้วว่า การจับปลาในน้ำตกมันมีเฉพาะในละครทีวีเท่านั้น เรื่องจริงจับไม่ได้เลย อิอิ
ในเมื่อเปียกปอนกันแล้วก็เล่นน้ำตกซะเลย พวกเรา ผู้หญิงที่ไปก็เปลี่ยนชุดเป็นชุดอาบน้ำ (โบราณ) คือกระโจมอก เพื่อนลี่กับเพื่อนกี้ต้องเซฟนิดหน่อยด้วยเชือกฟาง เพื่อไม่ให้ผ้าหลุด อิอิ เราเล่นน้ำนานมาก ประมาณ 2 ชม. เพราะน้ำตกจากธรรมชาตินี่สดชื่นจริงๆ เล่นจนเขียวและสั่นจึงขึ้น ขึ้นมาเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยก็ได้เวลาอาหารเย็น (พี่ๆ Abp เตรียมอีกแล้ว สรุปผู้ชายเป็นพ่อครัวดีกว่าพวกเราอีก) 
วันที่ 2 นี้การกินข้าวออกรสมากขึ้น เพราะเราหายเหนื่อยบ้างแล้ว กินไปคุยกันไป เจ้าหน้าที่แกก็ปล่อยมุขตลอดๆ แต่ที่ชอบมากคือ แกบอกว่าแกมีเมียฝรั่ง เราก็ถามว่าประเทศไหน แกบอก ประเทศไทยนี่แหล่ะ มันเคยเป็นเมียฝรั่งมาก่อนมาเจอลุง พวกเราหัวเราะท้องขดท้องแข็งเลย เมียฝรั่ง นั่งคุยกันพักใหญ่ๆ ก็เริ่มง่วง จึงแยกย้ายกันไปนอน 

เช้าวันที่ 3 เราก็ตื่นเช้ากว่าวันที่ 2 วันนี้ต้องเดินทางกลับ เราก็เลยตื่นไปเก็บภาพรอบๆ น้ำตกซะหน่อย เบภาพจนหนำใจก็มากินข้าวเช้า พอกินเสร็จก็เตรียมเก็บของกลับ ก่อนเดินทางกลับก็ไม่ลืมเก็บภาพหมู่เป็นที่ระลึก เสร็จแล้วก็ออกเดินทางกลับ ระหว่างทางกลับเพื่อนกี้ก็ร้องเพลงให้พวกเราฟังไปตลอดทาง แต่รู้สึกว่าตอนกลับมันจะสบายกว่าตอนมา และก็ถึงหน่วยฯ ขญ.4 คลองปลากั้ง เร็วกว่าตอนไป 

แต่เรายังไม่จบทริปแค่นั้น เราจะไปดูกระทิงต่อ เจ้าหน้าที่ก็พาเราไปซุ่มดูกระทิง ซึ่งจะมีส่วนที่เขาเตรียมไว้ เช่นทำกระท่อมสูงๆ ไว้ซุ่มดู กฎการดูคือ ห้ามเสียงดัง ห้ามทำให้กระทิงตกใจ เช่นถ่ายรูปโดยใช้แฟลซกระทิงจะตกใจ ห้ามใส่น้ำหอมกระทิงจะได้กลิ่น เราซุ่มดูใกล้ๆ กับโป่ง ที่กระทิงจะมากิน (โป่งคือ พื้นดินบริเวณที่มีแร่ธาตุสะสมแล้วมีสัตว์มากิน) เรารอพักใหญ่ๆ กระทิงก็มาให้เห็น แต่เจ้าหน้าที่บอกว่าวันนี้เหมือนกระทิงรู้ว่าเรามาเลยไม่ค่อยออกมา เราซุ่มดูพักใหญ่ๆ จนเริ่มค่ำ จึงต้องกลับด้วยความเสียดายที่ได้ดูนิดเดียว

เรายังไม่กลับเลย เพราะเจ้าหน้าที่ชวนเราไปกินข้าว (สงสัยติดใจพวกเราแล้ว) พวกเราก็ไม่ขัดศรัทธา ไปกินข้าวถามแกชวน เป็นอาหารบ้านป่า แต่สุดยอด อร่อยมากที่สุดในสามโลก กินไปคุยไป เจ้าหน้าที่แกบอกว่า ว่างๆ ก็มาอีกนะ พวกเราคุยไปกินไปอย่างออกรส จนอิ่มแล้วพวกเราก็ขอลากลับ พี่ๆ Abp ก็แวะส่งเราที่สระบุรีตอนดึกๆ ก่อนกลับเข้ากรุงเทพฯ เพื่อเริ่มทำงานวันจันทร์หลังจากไปชาร์ทแบตมาเต็มที่

การเดินทางทริปนี้บอกตั้งแต่ต้นว่าไปแบบไม่ตั้งใจ แต่ไปแล้วกลับประทับใจมาก ทั้งเหนื่อย สนุก ผจญภัย ตื่นเต้น หากไม่ไปคงเสียใจที่พลาดทริปดีๆ นี้ไป พลาดโอกาสให้ได้มารู้จักพี่ๆ กลุ่ม Abp ขอบคุณชะตที่ทำให้พวกเราได้มารูปจักกัน ซึ่งมันเป็นจุดเรื่มต้นของการเดินทางของกลุ่มเรา Abp ซึ่งตอนนี้เรา เพื่อนลี่ เพื่อนกี้ พี่ตี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของ Abp และร่วมทำกิจกรรมดีๆ ต่อๆ มา การทำอะไรให้เราใช้ใจทำ ทำด้วยความรู้สึกอยากทำจริงๆ อย่ายึดติดกฎเกณฑ์มากแล้วเราจะมีความสุข

1 ความคิดเห็น: